โดนโยงว่าจะเกาเหลากับ “ต่อ ธนภพ ลีรัตนขจร” ซะแล้วสำหรับ “เจมส์ ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ” ทั้งทั้งคู่แสดง “โปรเจกต์เอส” ด้วยกันแม้จะคนละพาร์ท แถมก่อนหน้านี้เองทาง “เจมส์” ก็มีผลงานออกมาบ่อยสุดๆ คนเลยคิดว่าค่ายกำลังดันให้เท่ากับอีกฝ่ายแน่ๆ พอได้เจอ “เจมส์” ในงานเปิดตัว “TOO FAST TO SLEEP.SCB” ณ ชั้น 2 ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาสยามสแควร์ ซอย 1 ก็ให้สัมภาษณ์ว่า
“ตอนนี้เพิ่งปิดกล้องไปไม่นาน ตอนของเราเป็นตอนที่ 3 จะฉายหลังจากที่เรื่อง side by side จบ ถามว่ากดดันไหม มันเหมือนเป็นแรงผลักดันให้เรามากกว่า เรารู้สึกว่าโปรเจกต์เอสเราทำด้วยกัน ถ้าเรื่องไหนดังเราก็ดีใจอยู่แล้ว เหมือนเราช่วยกันดันไปไม่ได้มองว่าแยกกันไป ส่วนตัวก็ไม่เกร็งเพราะตอนถ่ายเราก็ทำพาร์ทของเราให้ดีที่สุดแล้ว แต่บอกเลยว่าบทท้าทายมาก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้เราเปลี่ยนเป็นอีกคนไปเลย จะไม่ค่อยได้เห็นเราในลุคเดิมที่จะดูแบดๆ เป็นเพลย์บอย แต่เรื่องนี้พลิกไปเลย เรียกว่าเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของเราเลยก็ได้ ก็อยากให้รออีกนิดหนึ่ง
บอกเลยว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราทำการบ้านเยอะมากและไม่ใช่ระยะเวลาเพียงนิดเดียว ถามว่าคาดหวังไหม คือเวลาทำงานเราก็อยากให้งานออกมาดี มีคนชอบ มีคนเข้าใจที่เราอยากจะสื่ออยู่แล้ว แต่ถ้าเราทำงานแล้วเราชอบเท่านี้เราก็โอเค ส่วนคนดูหรือกระแสมันเป็นเรื่องที่ไม่สามารถควบคุมได้อยู่แล้ว แต่ก็หวังว่ามันจะดีนะ ก็ไม่ได้เรียกว่าเผื่อใจอะไรเพราะเราทำพาร์ทของเราให้ดีที่สุดแล้ว
กับกระแสข่าวที่บอกค่ายพยายามปั้นเราให้เท่ากับ “ต่อ ธนภพ” ส่วนตัวเราไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นนะ ในเรื่องของงานมันก็เกี่ยวกับจังหวะและระยะเวลาด้วย อันนี้ไม่ได้ว่าเพราะอาจจะเป็นมุมมองของเขาแต่ส่วนตัวเรารู้สึกว่าไม่ใช่หรอก เรารู้สึกว่าแบ่งงานเท่ากันทุกคนอยู่แล้ว ก็คิดว่าที่ถูกมองแบบนี้เป็นเพราะช่วงผลงานเราออกมาพอดี แต่เรื่องโปรเจกต์เอสเอาจริงๆ เรารู้ว่าเราต้องเล่นก่อนพี่ต่ออีกมั้ง ส่วนตัวก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร เราทำเต็มที่ของเราอยู่แล้ว เรื่องกระแสเปรียบเทียบส่วนตัวรู้สึกเฉยๆ เพราะเป็นความคิดที่เราไม่สามารถควบคุมได้ มันเหมือนเป็นกระจกสะท้อนที่เผยออกไปสู่ภายนอก เราก็ต้องรู้จักเรียนรู้และเติบโตกับมัน ถามว่าสนิทกับพี่ต่อไหมก็สนิทนะ ส่วนตัวอาจจะไม่ค่อยได้คุยบ่อยแต่ก็เจอกันบ้าง เขาเป็นพี่ที่เราเคารพมาก เวลาอยากรู้เรื่องการแสดงอะไรเราก็จะคุยกับพี่เขา ยินยันว่าไม่ได้มีอะไรจริงๆ เอาจริงๆ ข่าวนี้เราก็เพิ่งรู้ตอนพี่ๆ ถามนี่แหละ ส่วนตัวเราไม่แข่งอะไรอยู่แล้ว มันไม่ใช่การแข่งขันแต่เป็นการพัฒนาไปด้วยกันมากกว่า
แล้วที่แฟนคลับคอมเม้นท์เชิงลบเราก็อ่านแล้ว เราชอบที่มีคนให้ความสนใจและเข้ามาคอมเม้นท์กัน เราจะได้รู้ว่ายังมีจุดไหนที่เราต้องปรับแก้ การที่เขามาวิจารณ์การแสดงแปลว่าเขาเองก็ให้ความสนใจเราเหมือนกัน ส่วนตัวก็ไม่ได้เครียดอะไรถ้าหากว่าเขามาเม้นท์แบบมีเหตุผล ถ้าอันไหนไม่มีเหตุผลเราก็ไม่สนใจ ก็โลกโซเชียลมันมีหลายๆ อย่างเนอะ มันอยู่ที่การปล่อยวาง เราจะคิดว่าคอมเม้นท์ที่เขามาว่าเราแรงๆ มันดีกับเราหรือเปล่า สุดท้ายคือมันไม่สอนอะไรเราเลย ถ้าเราไปเครียดกับมันแล้วเราจะได้อะไร ชีวิตเราอาจจะแย่ลง ดังนั้นปล่อยวางดีกว่า ก็ชิลๆ เลย อยากปฏิบัติธรรมมากเลยตอนนี้(หัวเราะ)
เอาเป็นว่าถ้าใครว่าเราแรงๆ ก็รับได้เพราะเหมือนเราไม่ได้ลงไปกำกับ แล้วยิ่งโซเชียลยุคนี้ด้วยก็น่าจะรู้ๆ กันดี ถามว่ามีตอบคนคอมเม้นท์แบบนี้บ้างไหม คือเรารู้สึกว่าบางทีเราไม่จำเป็นต้องเขาไปตอบกลับ ถ้าตอบกลับไปบางทีก็ทำให้เราเครียดและหงุดหงิดเองซะมากกว่า ดังนั้นก็ปล่อยไป เขาทำอะไรมันก็สะท้อนตัวเขา การที่มาด่าคนอื่นหรือใช้คำไม่สุภาพมาคอมเม้นท์คนอื่นแรงๆ มันไม่ได้ทำให้ตัวสูงขึ้นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องตอบกลับไปแรงๆ เราอยู่นิ่งๆ ของเราก็ดีแล้ว
สำหรับกระแสข่าวว่าเลิกกับแฟน อันนี้ยังคบกันอยู่นะ ยังไม่ได้เลิก เราคบกันจะ 4 ปีแล้ว ที่มีข่าวแบบนี้อาจจะเป็นเพราะเราไม่ค่อยได้ลงรูปคู่แต่เราก็ยังคบกันดีอยู่นะ คืออยู่กันไปนานๆ ก็ไม่ค่อยได้ถ่ายรู้อะไรเท่าไร เพื่อนๆ ก็ยังเจอกันอยู่ สำหรับคู่เราก็มีเติมหวานกันบ้างเพราะเราก็คบกันนานแล้ว เรื่องข่าวนี้เราก็โอเคเพราะเรารู้สึกว่าความรักมันมีอะไรมากกว่าการลงรูป อีกอย่างเราก็สบายใจที่จะอยู่กันแบบนี้ ไม่ได้โดนสั่งเบรกอะไร ถ้ารูปไหนสวยๆ เราลงก็ได้ เรื่องปัญหาทุกคู่ก็ต้องมียิบย่อยอยู่แล้ว แต่เราก็คุยกัน พยายามใจเย็นลง เดี๋ยวว่าจะชวนแฟนไปปฏิบัติธรรม หาช่วงเวลาก่อน อันนี้เรื่องจริงนะ คือตอนที่เราไปอังกฤษมันมีช่วงที่เราชอบความสงบ มันทำให้เราอยากไปปฏิบัติธรรม แล้วยิ่งเวลาที่เราเรียนเวิร์คช็อปมันก็มีเรื่องการทำสมาธิด้วย เราเลยรู้สึกว่าถ้าเรามีเวลาไปอยู่ในจุดที่ทิ้งทุกอย่างได้มันก็น่าจะดี ส่วนตัวไม่ได้เครียดอะไรนะ นี่เรายังไม่รู้เลยว่าเราเครียดอะไรหรือเปล่า ถามว่าเล็งไปช่วงไหนก็คงเป็นช่วงว่างแต่ตอนนี้ยังไม่มีเลย จริงๆ เมื่อก่อนแม่จะชวนไปบ่อยแต่ตอนนั้นเราไม่อิน แต่พอมาถึงจุดนี้เรารู้สึกว่าการปฏิบัติธรรมมันก็น่าจะดีเหมือนกัน”