ถือว่าเป็นอีกหนึ่งนักแสดงที่กำลังประสบความสำเร็จก็ว่าได้สำหรับ “ไนกี้ นิธิดล ป้อมสุวรรณ” เพราะล่าสุดได้ยินว่าเจ้าตัวบินไปเซ็นสัญญากับที่จีนด้วย ก็ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะงดรับงานที่ไทยเลยหรือเปล่า พอได้เจอเจ้าตัวในงานบวงสรวงละคร “รักฉันสวรรค์จัดให้” ที่ บมจ.อาร์เอส ซ.ลาดพร้าว 15 ก็ให้สัมภาษณ์ว่า
เรื่องเซ็นสัญญาร่วมงานที่จีน คือมันเป็นผลงานที่อาจจะมีต่อไป จริงๆ ก็มีละครที่เราเล่นกับทางช่อง 9 ที่จะไปออนแอร์ที่นั่นและจะมีงานด้านอื่นๆ อีกซึ่งกำลังอยู่ในช่วงพูดคุยอยู่ คือทางจีนเขาได้ดูผลงานเราอยู่แล้ว เขารู้จักเรา ไปที่นั่นก้ได้รับการตอบรับที่ดีเพราะที่นั่นมีแฟนคลับที่รู้จักเราด้วย ก็เป็นสิ่งที่ดี จริงๆ ต้องบอกก่อนว่าไปที่โน้นเรายังไม่ได้เซ็นสัญญาอะไรนะ แต่ว่าทางนั้นเขาให้เป็นงานๆ ไปก่อน อาจจะมีไปโชว์ตัวหรือออกรายการก็ต้องรอดูคิวกันอีกที จริงๆ
ก็ให้ผู้จัดการคุยอยู่ว่างานทางนั้นก็รับและงานทางไทยก็ต้องแบ่งเวลาให้ดีเพราะต้องบินไป-มาด้วย ก็อาจจะไปเหมือนพี่ๆ คนอื่นที่เขาบินไป-มากันอยู่ แต่ยังไงไม่ได้เบรกงานที่ไทยแน่นอน งานที่นี่เราก็ยังรับ ก็เดี๋ยวดูอีกทีว่าจะแชร์กันยังไงเพราะมันต้องมีเรื่องของการเรียนภาษาด้วย ตอนนี้ก็ไปออกเป็นงานๆ ไปก่อน เรื่องงานที่ไทยก็อยู่ที่ทางผู้จัดการจัดตารางเวลาแล้วหละว่าจะยังไง วันหนึ่งอาจจะ 2-4 อย่างบ้าง ก็สนุกดี คือเราก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร งานที่จีนเรายังไม่แน่ใจว่าจะเป็นละครหรือหนังเพราะเขากำลังคุยกันอยู่
กับแฟนคลับที่โน้นเขาก็น่ารัก ก็จะวิ่งกันเข้ามาขอถ่ายรูป เขาเรียกเราว่า ไนกี๋ เขารู้จักเราจากทางละครนี่แหละ เอาจริงๆ ทางจีนเขาดูละครไทยของเราเยอะนะ เราก็ไม่รู้ว่าเป็นยังไงแต่เห็นทางล่ามเขาบอกว่ามีคนแปลซับแหละ อีกอย่างประเทศของเขาเป็นประเทศที่ค่อนข้างใหญ่ เวลาเขาดูอะไรก็เลยกว้างขวางกว่าของเราเพราะคนเขาเยอะ ก็อย่าเพิ่งเรียกว่าโกอินเตอร์เลย ยังไม่ถึงขนาดนั้น ก็ถือว่าเป็นการได้ไปชิมลางมากกว่าเพราะส่วนหนึ่งเรายังรับงานกับทางไทยอยู่ ตอนนี้คือเพิ่งเริ่มเอง เดี๋ยวรอดูกันก่อนว่าจะเป็นยังไง เวลาให้สัมภาษณ์ที่โน้นส่วนใหญ่เขาก็อยากรู้ว่าเรารู้สึกยังไงที่ได้มาที่จีน ประทับใจตรงไหน และจะมีอะไรต่ออีกไหม บอกเลยว่าทางนั้นก็ดีมากเลยนะเพราะเขาลงข่าวให้เราเยอะมาก
พอไปทำงานที่จีนคุณพ่อก็มีคุณแม่และพี่สาวคอยดูแลอยู่ ส่วนเราเองก็ไปๆ มาๆ ถ้ามีเวลาว่างก็ไปเยี่ยม อย่างตอนเข้าพรรษาเราก้ซื้อกระเป๋าสตางค์ให้คุณพ่อใหม่ เอาเงินใส่ไว้ในกระเป๋าแล้วก็กอดคุณพ่อ บอกให้ท่านรักษาสุขภาพ เราก็ทำในวันสำคัญตลอด ท่านก็ไม่ได้อะไรมากเพราะยุคสมัยนี้ค่อนข้างโอเคในการติดต่อกัน ไปที่จีนเราก็เปิดซิมไปด้วยแล้ววีดีโอคอลหากัน ก็สนุกสนานดี ท่านก็รู้ว่าเราอยู่ไหน รู้ว่าเราทำอะไร สามารถติดต่อกันได้ตลอดเวลา มันก็ค่อนข้างโอเค
ตอนนี้คุณพ่ออาการก็ต้องเลี้ยงๆ กันอยู่ คืออาการยังทรงตัว แต่คุณพ่อกำลังใจดี ยังยิ้มได้ คุณพ่อไม่ค่อยซีเรียสเท่าไรแต่จะเป็นคนรอบข้างมากกว่าที่ห่วงมาก เพราะเรารู้ว่าอาการแบบนี้ต้องดูแลดีๆ ก็ดูแลไม่ให้กินของมันๆ พยายามเลี่ยงแอลกอฮอล์ ให้ท่านพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะถ้าคุณพ่อกินของพวกนี้อาการจะมาทันที พออายุมากขึ้นทุกอย่างมันเสื่อมหมดมันก็ต้องค่อยๆ ดูแลเรื่องของการกินเป็นหลัก เราก็พยายามหาอะไรที่เขาว่าดีซื้อให้ท่านกิน
เอาจริงๆ คุณพ่อเป็นคนที่ดื้อมากๆ หลังๆ เราก็จะกอดท่านบ่อยๆ อย่างตอนรดน้ำดำหัว ท่านก็รู้ ท่านก็ตื้นตัน เราก็ขอให้ท่านอยู่กับเรานานๆ งานเรากำลังดีก็ให้ท่านอยู่ใช้เงินก่อน จริงๆ เมื่อก่อนเราไม่ค่อยกอดท่านนะ แต่หลังๆ มานี้เราเจอกันเรากอดตลอด เราคิดว่าอย่าสร้างกำแพงให้ตัวเองเลย ทลายกำแพงออกไป เป็นลูกผู้ชายก็กอดพ่อได้ ท่านก็ยิ้มและหัวเราะ จริงๆ ท่านก็คงอายแหละเพราะเราก็กอดท่านต่อหน้าคนอื่น แต่คือหลังจากนั้นเราต้องลาท่านมาทำงานที่กรุงเทพฯก็เลยกอด ก็ต่างคนต่างเขินแหละ”