ต้องออกมาเคลียร์จนได้ สำหรับนักแสดงหนุ่ม “ปูไข่ พงษ์สิรี บรรลือวงศ์” ที่หลังจากเกิดการอาการเจ็บป่วย จนต้องเข้าแอดมิทที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง และต้องตกใจกับค่ารักษาแสนโหดที่ตกวันละหมื่น ทำเอาเจ้าตัวถึงกับโพสต์บ่นลงอินสตาแกรมส่วนตัว จนเกิดดราม่าเบาๆ ว่าหนุ่ม “ปูไข่” ออกมาโพสต์แบบนี้ต้องการจะดิสเครดิตทางโรงพยาบาลหรือเปล่า (อ่านข่าว…“ปูไข่ พงษ์สิรี” ถึงกับโอดหลังเจอค่ารักษาพยาบาลสูงปรี๊ด ถามถ้าจนจะป่วยยังไง ?)
ล่าสุดในงานเปิดตัวธุรกิจใหม่ “VTint” ลิปทินท์สูตรน้ำของ “วิว วรรณรท” ณ ลานเอเทรี่ยม2 Siam Center หนุ่ม “ปู่ไข่” ควงหวานใจสาว “เจี๊ยบ ชมพูนุช” ออกมาชี้แจงถึงประเด็นนี้ว่า…
ไม่สบายหายดีแล้วหรือยัง ?
ปูไข่ : ตอนนี้ยังไม่ค่อยหายดีเท่าไหร่ครับ คือผมเป็นไข้ 16 วันติด ไข้ประมาณ 39 องศา แต่ว่าตอนนี้อาการไข้หายแล้ว เหลืออาการปวดตัว ปวดตั้งแต่บ่าลงไปถึงปลายเท้า เดินก็ยังไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ ก็ค่อนข้างรุนแรงนิดหน่อย ต้องถอนละครไปเรื่องหนึ่ง เพราะว่าไปทำงานให้เขาไม่ไหวครับ
เป็นไข้หวัดใหญ่ หรือไข้หวัดธรรมดา ?
ปูไข่ : คือไข้หวัดในสมัยนี้ผมพูดรวมๆ นะ ผมไปเช็คเลือดมา 6 รอบ ไม่มีไวรัส ไม่มีแบคทีเรีย เป็นไข้ที่อาจจะเกิดจากแบคทีเรียตัวที่ยังไม่ค่อยมีคนรู้จัก ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะนี่คือสิ่งที่หมอตอบผมมาครับ ที่ผมตอบได้คือตอนเช็คเรื่องไข้เม็ดเลือดขาวผมเยอะกว่าปกติ มันก็แสดงว่ามีอาการอักเสบในร่างกายแน่นอน ถามว่าเป็นอะไรหมอก็ยังตอบไม่ได้เลยครับ ตอนนี้ก็เหลือว่าจะทำยังไงให้ร่างกายกลับมาใช้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วก็ให้อาการปวดตัวพวกนี้หายไป
เราดูเป็นคนรักษาสุขภาพคนหนึ่งเลย ?
ปูไข่ : ก็ดูแลตลอดครับ คือผมไม่เคยป่วยหนักขนาดนี้ ไม่เคยแอดมิดเลยนะครับ แต่นี้ครั้งแรก พอเป็นก็เลยเป็นหนักเลย ก็จะได้คุ้มหน่อย (หัวเราะ)
ถามถึงโพสต์ที่เราบอกค่าใช่จ่ายก็สูงอยู่เหมือนกัน ?
ปูไข่ : ที่ผมโพสต์ลงไปคือ จริงๆ ถามว่ามันแพงไหม ในความรู้สึกผมมันอยู่ราคาที่รับได้นะ แต่หมายถึงว่า ต่อเดือนหนึ่งคุณต้องมีรายได้เข้ามาในระดับหนึ่งเลยอ่ะ พูดตรงๆ เลยนะ ผมไปนอน 3 วัน บวกกับเช็คร่างกายนิดหน่อย ผมจ่ายไปทั้งหมด 6 หมื่นกว่าบาท คือผมไม่มีประกัน แต่ที่ผมโพสต์ไปแค่อยากถามเฉยๆ ในความรู้สึกผม ผมรู้สึกว่าโดยเฉลี่ยของทุกคนในประเทศไทย คงไม่มีใครหาเงินได้เดือนละแสนหรอก แล้วถ้าสมมุติเขาต้องดูแลครอบครัวเขาด้วย เขาจะออมเงินที่ไหนมาซื้อประกัน ที่ผมไปนอนโรงพยาบาลเอกชน ไม่ใช่ผมอวดรวยนะ แต่ผมโทรไปโรงพยาบาลรัฐบาลแล้วไม่มีเตียงให้ผมนอน เพราะฉะนั้นก็เลยต้องไปนอนเอกชน วันที่ผมไปนอนคือผมเดินไม่ได้นะครับ เดินไม่ได้เลย เจี๊ยบเป็นคนพาไปโรงพยาบาล คือมันขยับไม่ได้แล้วจะให้ทำยังไง
ต่อไปนี้ต้องทำประกันชีวิตไหม ?
ปูไข่ : ต้องทำแล้วละครับ เพราะว่าถ้าไม่ทำ ถ้าผมเป็นอีกบ่อยๆ ราคานี้ผมก็สู้ไม่ไหวเหมือนกัน
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเท่าไหร่ ?
ปูไข่ : ตอนนี้มันประมาณ 6 หมื่นนิดๆ ครับ แต่ผมพูดนิดหนึ่งนะผมไม่ได้ว่าโรงพยาบาล โรงพยาบาลเขาดูแลผมดีมาก และผมเชื่อว่ามันมีโรงพยาบาลที่แพงกว่านั้นอีก ที่ผมไม่สามารถเลือกเขาไปได้ด้วยซ้ำ แต่ว่าผมแค่มีคำถามเฉยๆ ว่าจะทำยังไงให้ทุกคนที่ยืนอยู่ในสังคมทำงานให้ประเทศนี้ สามารถเข้ารักษาพยาบาลแล้วมีความเท่าเทียมกันได้ คือจะให้เราเดาล่วงหน้าว่าพรุ่งนี้จะป่วยนะ มะรืนเราโทรไปจองโรงพยาบาลของวันมะรืนก่อน ก็คงตอบว่ามันเป็นไปไม่ได้ไง มันก็ต้องแล้วแต่วัน ว่าวันนี้เตียงที่นี่ไม่ว่างทำยังไงดี ผมรู้สึกว่าถ้ามาตรฐานการดูแลตัวเองของสังคมเรามันสูงขนาดนี้ ทำยังไงมันจะเฉลี่ย ในส่วนอื่นๆ แล้วทำให้รายได้ของทุกคนเท่ากัน แต่ผมกลัวอย่างหนึ่งคือมีการบอกว่าจะเพิ่มรายได้ การเพิ่มรายได้ถ้ามันเป็นเงินเฟ้อมันก็ไม่มีค่านะ แต่ถ้าคุณไม่เพิ่มรายได้ แต่คุณสามารถจ่ายได้ อันนี้ผมอยากรู้ว่าทำยังไงประเทศเราถึงจะเดินไปถึงตรงนั้นได้มากกว่า
ก่อนแอดมิดเราทราบไหมว่าค่าใช้จ่ายจะแพงขนาดนี้ ?
ปูไข่ : ไม่ทราบครับ คิดว่าครึ่งหนึ่งของอันนี้ เดาว่าครึ่งหนึ่งของอันนี้
มีกระแสว่าเราดิสเครดิตใครหรือเปล่า ?
ปูไข่ : ผมไม่ได้จะดิสเครดิตใคร ผมแค่พูดความจริงของสังคม ผมอาจจะผิดนะ ถ้ามองว่าผมผิด แต่ผมถามว่าถ้าสมมุติเป็นคนที่เงินเดือนไม่เท่าผม แล้วเขาไปนอนแบบนี้เขาจะจ่ายกันไหวยังไง หรือเขาเข้าไปแล้ว แล้วจ่ายไม่ไหวแล้วเขาจะทำยังไงต้อกับชีวิตอ่ะ
เจี๊ยบดูแลยังไงบ้าง ?
เจี๊ยบ : ดูแลอยู่แล้วค่ะ แต่วันที่เขาไม่สบายใจเข้าโรงพยาบาล ไข้ขึ้นไม่ลดลง ปวดตัวจนเดินไม่ได้ เราเลยรู้สึกว่าต้องเข้าโรงพยาบาลจริงๆ แล้ว แล้วเรามีพี่ที่รู้จักคอยเป็นที่ปรึกษา เขาบอกว่ามีอาจารย์หมอที่นี่เป็นเฉพาะทาง ที่คิดว่าน่าจะดูแลปูไข่ได้ดี ตอนแรกเราเช็กโรงพยาบาลรัฐบาลแล้วไม่ว่าง วันนั้นเจี๊ยบขับรถวนรอบเส้นพญาไทอยู่ 3 รอบ เพื่อดูว่าปูจะเข้าโรงพยาบาลไหนได้บ้าง เราไม่สามารถพาเขากลับบ้านได้เพราะเราไม่สามารถคุมได้แล้ว ปูกินยาพารามา 1 อาทิตย์ 3 มื้อ มื้อละ 2 เม็ด มันเยอะเกินไปแล้ว เราก็เป็นห่วง วินาทีนั้นคิดแค่ให้เจอคุณหมอที่ดูแลปูได้
ตกใจไหม ?
เจี๊ยบ : วันที่เข้าโรงพยาบาลเรายังไม่ค่อยตกใจ แต่วันที่ปูอยู่โรงพยาบาลวันที่สอง ตอนกลางคืนสักตีสี่ เราตกใจเพราะปูเรียกเราว่าให้ตามนางพยาบาลมา เหมือนเขาหายใจไม่ได้ ตอนนั้นเราเริ่มรู้สึกว่ามันเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ พอตื่นเช้ายิ่งตกใจเพราะเขาขยับตัวไม่ได้ คุมตัวเองไม่ได้ ผ้าห่มอยู่บนปลายเท้าเขายังเจ็บเลย ซึ่งตอบไม่ได้ว่าเป็นอะไรเราเลยยิ่งกังวล คือถ้ารู้ว่าโรคอะไรคงมีวิธีรักษา แต่นี่ไม่รู้ไง
ตอนนั้นเราเครียดเลยไหม ?
เจี๊ยบ : ตอนนั้นเราก็ไม่เครียดนะคะ เราพยายามอยู่ใกล้ๆ ปู และเราเครียดไม่ได้ ไม่นั้นเขาจะยิ่งไปกันใหญ่เพราะปูเป็นคนซีเรียสอยู่แล้ว เจี๊ยบเลยพยายามเล่น
จากนี้จะช่วงกันดูแลยังไงดี ?
เจี๊ยบ : คือถ้าปูไม่สบาย 3 วัน กินยาไม่หายคือต้องไปโรงพยาบาลเลย ต้องไม่ทิ้งไว้ 2 อาทิตย์ มันจะหนัก
ทำไมวันนี้มาลุกส์ผมสั้น ?
เจี๊ยบ : ตั้งใจว่าอยากทำบุญ เลยพยายามไว้ผมยาวให้ยาวที่สุด แล้วเอาไปตัดบริจาคให้สภามะเร็งแห่งชาติ ความยาวต้อง 10 นิ้ว ครั้งนึงในชีวิต จริงๆ อยากตัดผมสั้นมานานมากแล้ว แต่ไม่เคยกล้า จนพอดีงานละครทุกอย่างปิดกล้องหมดแล้ว เลยบอกปูว่าไปตัดผมนะ ก็ตัดสั้นเลย สบายหัวดี ส่วนเรียกว่าทำบุญใหญ่เลยมั้ย พยายามจะทำเรื่อยๆ มันก็ทำได้ทั้งทานและบุญ