เมื่อช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีข่าวฉาวสุดดังของนักแสดงสาว ลูกตาล อาริษา เป็นภาพนอนโป๊เปลือยว่อนเน็ต ทำเอาคนตกใจอย่างมากเพราะไม่คิดว่าจะรุนแรงเช่นนี้ ณ ตอนนี้ได้ทำให้สาวลูกตาลเกิดความอับอายอย่างหนัก และต้องย้ายชีวิตตัวเองไปอยู่ที่อเมริกา เพื่อหนีเรื่องเหล่านี้
ล่าสุดลูกตาลก็ได้กลับมาเมืองไทย หลังไปอยู่ที่อเมริกานานกว่า 3 ปี โดยเธอได้มานั่งเปิดใจในรายการ คุยแซ่บShow ทางช่อง one31 ที่มี ธัญญ่า ธัญญาเรศ และเป๊กกี้ ศรีธัญญา เป็นพิธีกร ซึ่งลูกตาลก็ได้เล่ามรสุมชีวิตที่ผ่านมาให้ฟังว่า
หายไปไหนมา? “ไปอยู่อเมริกาค่ะประมาณ 3 ปีค่ะ ไปอยู่ที่นั่นมีความสุขค่ะ ได้พัก เพราะว่าอยู่ที่นี่จะอยู่คนเดียว แต่ไปอยู่ที่นั่นมีครอบครัวค่ะ มีคุณพ่อ มีน้องที่อยู่ด้วยกันค่ะ”
มรสุมที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง? “หลักๆ เลยเกิดเรื่องที่ตอนนั้นมีภาพหลุด เราก็เฟลไปเต็มๆ เลย พักใหญ่เลย ด้วยภาพที่มันหลุดออกมา คนที่เค้าเห็นเค้าจะเห็นใจค่ะ ตอนนั้นคือเราไม่เคยเจออะไรแบบนี้ เราไปไม่ถูกค่ะ ไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้กับเรา คือเราเครียดไม่กล้าออกจากบ้านเลย ใช้เวลาตัดสินใจอยู่ 3 วันแล้วก็เดินทางไปอเมริกาเลย ตอนนั้นมีละครค่ะ แต่ว่าผู้จัดเข้าใจ คิวสุดท้ายเค้าก็ตัดเราออกเลย”
เหตุการณ์ตอนนั้นมันเกิดขึ้นได้ยังไง? “คือวันนั้นเหมือนไปเที่ยวกับเพื่อน แล้วทีนี้ก็เหมือนกับอยู่ดีๆ เราไม่มีสติ ทั้งที่เราหยุดดื่มมาสักพักแล้ว ปกติจะมีเพื่อนไปด้วยใช่มั้ยคะ แต่วันนั้นเพื่อนกลับไปก่อน เราก็จะให้พี่คนนึงไปส่ง เค้าจะไปส่งบ้านเรา 3-4 ครั้ง เป็นพี่ที่รู้จักกันปกติ ไม่ใช่แฟนหรืออะไร แต่คือมารู้จักอีกที เราไม่ถึงบ้านค่ะ
แล้วเหตุการณ์มันก็ผ่านไป เราเพิ่งมารู้ตัวว่าภาพหลุดหลังจากนั้นมา 4 เดือน ก็คือเราไม่ได้โทษอะไร เราโทษตัวเองว่าทำไมถึงไม่มีสติ แล้วก็เลยไม่ได้เอาเรื่องอะไรใคร ก็ไม่ได้คิดว่าจะมีภาพหลุดด้วย ผู้จัดการโทรมาบอก เราก็ยังสงสัยว่าภาพหลุดอะไร เราก็ไม่กล้าเปิดดู แต่ถ้าไม่เปิดดูจะรู้ได้ยังไงว่าภาพอะไร
พอเปิดดูปุ๊บเห็นรูปก็รู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นเหตุการณ์คืนนั้น ใจหล่นมาก น้ำตาคลอ ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับเราด้วย ก็ไม่ได้ติดต่ออะไรคนนั้นไปนะคะ ก็เลยตัดสินใจปรึกษาผู้ใหญ่และแจ้งความกับ ปอท. แจ้งความเสร็จก็เดินทางไปต่างประเทศเลย”
คืนนั้นเมามั้ย? “คืนนั้นผับแรกปิดตีสอง แล้วไปต่อผับที่สองเค้าปิดประมาณตีสี่อ่ะค่ะ ตอนที่หนูไปตีสาม หนูไม่ได้ดื่มแล้วจากตอนที่ไปต่อแล้ว แล้วตอนที่จะไปจ่ายตังค์ หนูไม่ไหวแล้ว ถามว่าจะโดนใส่ยาไรมั้ย อันนี้หนูก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะว่าตอนตีสามหนูก็ไม่ได้ดื่มแล้ว แค่ถ่ายรูปเล่นกับเพื่อนๆ ค่ะ แต่ตอนนั้นไม่เมานะคะ แต่พอจะเช็กบิลกลับเริ่มจะไม่ไหวแล้ว”
แล้วคนที่ไปส่งเราที่บ้านมีปฏิกิริยาอะไรมั้ย? “ไม่นะคะ เค้าเป็นหุ้นส่วนของร้าน เค้าแค่จัดแจงที่ให้เราแล้วก็เอาเครื่องดื่มมาให้ แล้วก็ออกไปนะคะ แต่ก็คือเจอหน้ากันก็ไม่ได้คิดอะไร แต่เพื่อนคนที่เราจะกลับด้วยเค้ากลับไปก่อน ก็เลยให้พี่เค้าไปส่งแทน พอย้อนกลับไปคิดก็คิดว่าน่าจะมีการหยอดยาเหมือนในละคร มันเป็นไปไม่ได้ที่หนูจะไม่มีสติขนาดนั้น”
ไม่คิดจะเอาเรื่องเค้าเหรอ? “ตอนที่ไปแจ้งความ ปอท. ก็คิดจะเอาเรื่องนะคะ แต่ ณ ตอนนั้นหนูไม่สามารถอยู่เมืองไทยได้แล้ว ขอไปพักผ่อนดีกว่า ก็ให้ตำรวจจัดการ แต่เชื่อมั้ยว่า หลังจากนั้น 2 อาทิตย์ มีคนโทรมาบอกว่าคนนั้นตายแล้ว หนูตกใจมากเลย เพราะว่าตอนที่ภาพหลุดไป ก็มีพี่ที่เค้าห่วงเรามาถามว่า
ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร แล้วจะให้พี่จัดการยังไง คือตอนนั้นเราก็ตกใจมากหลังจากมีภาพหลุดจากนั้นประมาณ 10 วันค่ะ เค้าเมาแล้วขับรถชนบนโทลล์เวย์ค่ะ รถคว่ำ หนูก็ตกใจค่ะ คือหนูไม่ได้รู้สึกสะใจหรือแค้นสมน้ำหน้าเลยนะคะ แค่ตกใจว่ากรรมมันติดจรวดขนาดนั้นเลยเหรอ”
จากเรื่องนี้มีผลกับงานมั้ย? “ยอมรับว่าที่หายไปเพราะมีส่วนมาจากเรื่องภาพหลุด แต่ส่วนหนึ่งก็เรื่องเสียความรู้สึกนิดหน่อย ก็คือว่าก่อนหน้าที่เราจะไปพักผ่อนเรามีละครใช่มั้ยคะ แล้วเราไปพักผ่อน 2 เดือน หลังจากนั้นจะกลับมาเค้าก็เปลี่ยนตัวคนอื่นไปแล้ว ก็เลยคิดว่าทำไมเค้าไม่พูดตรงๆ กับเราแต่แรก
ทำไมถึงให้เราไปพักผ่อนก่อน ตอนนั้นที่ตัดสินใจเพราะเฟลด้วย ก็เลยไปอยู่อเมริกายาวเลยค่ะ คิดว่าจะหันหลังให้วงการ แต่เราไม่ได้คิดที่จะฆ่าตัวตายนะคะ แค่คิดว่าเหนื่อยกับวงการนี้ เราทำมาตั้งแต่อายุ 15 แล้ว แล้วเหนื่อยกับกระแสของมัน ทั้งโซเชียล ผู้คน และที่น้อยใจที่สุดคือผู้ใหญ่ ที่ตอนแรกพูดอย่างหนึ่งแล้วทำอีกอย่างหนึ่งค่ะ”
“จริงๆ ปีที่แล้วมีละครติดต่อมา 2 เรื่องนะคะ ตอนแรกจะรับ แต่ว่าเพราะละครต้องอยู่เมืองไทย ไม่สามารถไปไหนได้ แต่คุณพ่อมีปัญหาสุขภาพเราก็ต้องอยู่กับเค้าค่ะ
มาตอนนี้ก็พร้อมกลับมารับละครเหมือนเดิมแล้วค่ะ เพราะตอนที่กลับมา 3 เดือนเราว่างมาก หลายคนก็ทักว่าทำไมไม่กลับมาเล่นละคร เพราะหลายคนคิดถึง เราก็คิดว่าน่าจะถึงเวลาแล้วแหละ ส่วนคุณพ่อเค้าก็เริ่มแข็งแรงขึ้นแล้วค่ะ ก็เลยทำให้เราโอเค ชีวิตเราก็เดินต่อไปเนอะ”