กลายเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงเป็นวงกว้าง กรณีที่นักร้องเสียงคุณภาพ “เบน ชลาทิศ ตันติวุฒิ” โพสต์ข้อความเศร้าเลิกราแฟนหนุ่ม “จิงโจ้” พร้อมบอกว่าจบรักเราสามคน และตอนนี้เหลือเพียงแค่สองคน ผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัวนั้น
ล่าสุดได้เจอ “อ๊อฟ ปองศักดิ์ รัตนพงษ์” นักร้องรุ่นน้องคนสนิท มาร่วมเปิดตัว ภาพยนตร์โษณา และเมนูใหม่ ของ ซิซซ์เล่อร์ ณ เซ็นทรัลคอร์ทชั้น 6 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ จึงขอถามไถ่ถึงเรื่องราวนี้ รวมถึงอัพเดทความรักกับไฮโซหนุ่ม “ภูมิ เตชะหรูวิจิตร”
งานดีแล้วความรักตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?
“แฮปปี้ดีครับ”
ไปเที่ยวกันมา พรีฮันนีมูน?
“ไม่อยากพูดมากเดี๋ยวคนจะหมั่นไส้ (หัวเราะ) ไม่หรอก อ๊อฟไปถ่ายรายการของอ๊อฟเอง
ด้วย ไปเที่ยวด้วย เลยได้โอกาสพ่วงไปด้วยกัน”
หลายคนมองว่าจะดันแฟนเข้าวงการไหม?
“ไม่หรอกครับ เขาอยู่ของเขา เขาก็มีกินไม่ต้องมานั่งทำงานแล้ว”
เราบังคับเขาไหมเรื่องนี้?
“เราก็คุยกัน อยากให้เขาได้ทำอะไรใหม่ๆ แปลกๆ บ้าง คือเขาก็เป็นเขา เราก็อยากให้เขาเป็นตัวเองด้วยเวลาออกกล้อง อีกอย่างที่ทำด้วยกัน เป็นทำรายการของเราก็เหมือนกับเป็นการนำเสนอการไลฟ์สไตล์ของตัวเองเท่านั้นเอง แรกๆ เขาก็เขิน เราก็พยายามจะบอกเขาว่าควรชินได้แล้วนะ เธอมีแฟนเป็นบ้าแบบนี้ เธอต้องเริ่มชินได้แล้ว”
แต่พอมาอยู่ในสื่อเขาก็โดนจับจ้อง โดนคอมเม้นท์ เขาคิดมากไหม?
“เขาก็ส่งมาถามเหมือนกัน พยายามแคปทุกอย่างมาถาม อ๊อฟเห็นช่วงนั้นเขาซึมๆ เงียบไป แต่ก็มีบ้างแหละ เอาง่ายๆเลยนะ คือคนเป็นเกย์ทุกคนต่อให้เป็นคิงหรือควีน หรือเป็นรุกหรือรับ มันก็สาวด้วยกันทั้งนั้นแหละ มันก็ต้องมีความนุ่มๆ นวลๆ นิ่มๆ อยู่แล้ว แต่ถ้าเกิดคุณอยากจะให้แมนๆ ไปเลย มันก็ยากไง ไม่งั้นเขาก็เป็นผู้ชายไปแล้วสิ ไปชอบผู้หญิงไหม”
เขาอ่านคอมเม้นท์ไหม?
“ตัวเขาเป็นคนชอบอ่าน ส่วนตัวอ๊อฟชินแล้ว กับคอมเม้นท์อะไรแบบนี้อยู่เเล้ว เราจะเข้าใจว่า อะไรที่แก้ได้ อะไรที่เราแก้ไม่ได้ เราก็พยายามบอกเขาว่าถ้าเธอยังทำใจไม่ได้กับการอ่านก็ไม่ต้องเข้าไปอ่านนะ ถ้าเกิดอ่านแล้วเธอต้องทำความเข้าใจกับมันให้มากๆ เพราะวิธีการเลี้ยงดูไม่เหมือนกันอยู่แล้ว เขาจะค่อนข้างลูกคุณหนูหน่อย เราเป็นคนกระโชกโฮกฮากไง มันเลยจะมีความต่างกันสุดขั้ว ซึ่งพอแฟนเราเขานิ่ง มีความนุ่มนวลหน่อย เจ้าสำอางนิดหนึ่ง ก็จะถูกมองว่าเป็นสาว เป็นเพื่อนสาวหรือเปล่า ไม่จ๊ะ คอนเฟิร์มว่าเป็นผัวค่ะ (หัวเราะ)”
เขานอยด์ไหม?
“เขาก็นอยด์นะ พอเราบอก เราอธิบายเขาเข้าใจในสิ่งที่เราพยายามจะบอก พยายามจะสอนเขา”
เรารู้สึกยังไงบ้างกับสังคมไทยยังไม่ก้าวผ่านเรื่องแบบนี้?
“เอาจริงๆ เขารับได้กันอยู่แล้วนะ แต่สิ่งที่คนเขาคอมเม้นท์ อาจจะมาจากหนึ่งคือเขาอาจจะไม่ได้คิดก่อนพิมพ์หรือเปล่า ในมุมมองอ๊อฟนะ ก็อาจจะสนุกปากบ้าง มันก็คงเป็นเรื่องจริง เกย์ไม่ว่าจะรุกหรือรับมันก็สาวกันทั้งนั้นแหละ มันต้องมีความสาว มันอยู่ที่ว่าแต่ละคู่เขารับกันได้มากน้อยแค่ไหน บางทีพอเราเริ่มต้นคบกัน เราก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าคนที่เข้ามาเป็นแฟนเราเขาเป็นแบบไหน เราถึงจะรับได้ ซึ่งเราก็รับได้มาปีกว่าแล้ว ซึ่งมันก็โอเค อ๊อฟว่าให้เขาทำใจแหละ เพราะคนส่วนใหญ่เขาก็เป็นแบบนี้แหละ”
เขารับได้มากน้อยแค่ไหน?
“ก็รับได้มากขึ้นกว่าเมื่อก่อนครับ เขาอ่านเขาก็ทำความเข้าใจกับสิ่งที่เขาได้อ่านมากขึ้น”
แต่ไม่ถึงขั้นมาบอกเราว่าไม่อยากทำแล้วช่องยูทูป?
“อ๊อฟก็ถามเขา ถ้าเธออึดอัดไม่ต้องทำก็ได้นะ แต่ฉันก็ต้องดำเนินการทำต่อไปเรื่อยๆ เธอก็อาจจะไม่ได้อยู่เต็มตัวเข้ามาอยู่ในกล้องตลอดเวลา เขาก็บอกว่า ภูมิอยู่ได้ ภูมิทำได้ เขาก็พัฒนาให้ตัวเขาได้โตขึ้นอีกขั้นหนึ่งด้วย อ๊อฟก็รู้สึกว่าโอเคจังเลย”
แบบนี้เป็นการซื้อใจเราไหม ว่าเขารักเราเขาเลยมาอยู่ตรงนี้?
“ใช่ จริงๆ อ๊อฟว่าเขาไม่จำเป็นเลยนะในชีวิตเขาเลย เขาไม่จำเป็นต้องมาอยู่ตรงนี้ เขามีทุกอย่างที่มั่นคงอยู่แล้ว ไม่ต้องมานั่งเป็นขี้ปากใคร เขาคงอยากรู้ว่าโลกของเราเป็นยังไง พอได้มาสัมผัส เขาบอกว่าโลกของเรามันเหมือนอยู่ตรงโรงพยาบาลศรีธัญญาเลย (หัวเราะ)”
ขออนุญาตถามเรื่องพี่เบน ชลาทิศ ล่าสุดได้ติดตามข่าวพี่เขาไหม?
“อ๊อฟก็แอบเห็นข่าวเหมือนกัน แต่อ๊อฟว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของเขา เพราะเอาจริงๆ ใครรัก ใครเลิก มันก็เป็นเรื่องปกติของเขา จะแต่งงานหรือไม่แต่งงาน เขาก็อยู่กันแบบนี้มาตั้งนานแล้ว มันเป็นความรักของเขา”
จากที่เคยร่วมงาน เรารู้ไหมว่าเขามีกันสามคน?
“ก็รู้ เพราะว่าปกติเราไปเราก็เห็นอยู่แล้ว เขาก็มา อ๊อฟว่าความรักมันเป็นเรื่องของหัวใจมากกว่าครับ คนสามคน คนสี่คน คนห้าคนเข้าใจกันอยู่ด้วยกันด้วยความเข้าใจ และแบ่งสรรเวลาให้มันถูกต้องให้มันเท่าเทียมกัน อ๊อฟหมายถึงคู่อื่นๆ นะครับ มันก็เป็นเรื่องปกติ การอยู่ด้วยกันสามคนความรักมันก็ขึ้นอยู่กับรสนิยมด้วย คนบางคนเขาแบบโอเคกับการที่อยู่แบบนี้ได้”
ได้ส่งข้อความไปให้กำลังใจไหม?
“ไม่ได้ส่งข้อความไปให้กำลังใจเลยครับ เพราะว่าพี่เบนเขาโตมากแล้ว พี่เบนเขาโตกว่าอ๊อฟอีก เขาคงทำใจกับเรื่องแบบนี้ได้นานมากแล้ว”
มีโอกาสได้เจอกันบ้างไหม?
“เดี๋ยวก็ต้องเจอครับเพราะมีคอนเสิร์ต ส่วนใหญ่เวลาเจออ๊อฟก็จะไม่ถามเรื่องอะไรพวกนี้อยู่แล้ว เพราะเราก็แค่รู้สึกว่าเรื่องอันไหนที่เขายังจัดการได้ เขายังสามารถคอนโทลและควบคุมความรู้สึกตัวเองได้เราก็เป็นกำลังใจให้อยู่ห่างๆ ให้กันอยู่แล้ว”
เขาดูเฮิร์ทหนักไหม?
“เอาจริงๆ ตอนที่เจอล่าสุดก็ยังอยู่กันปกติ เราก็ยังเห็นปกติอยู่ เราก็ตกใจเหมือนกัน แต่เราก็ไม่กล้าถามหรอก เพราะว่าเอาจริงๆ แล้วเราก็ห่วงความรู้สึกด้วย เพราะว่าไม่รู้ว่าเป็นแผลสดหรือแผลเก่า”
เจอกันล่าสุดนานหรือยัง?
“ก็ 2 เดือนนะ”
แสดงว่ากับเพื่อนร่วมงาน เขาก็ใช้ชีวิตปกติไม่ได้ปิดบัง?
“ปกติ ไม่ปิดบังเพราะจริงๆ ก็รู้กันอยู่แล้วตั้งแต่ขึ้นคอนเสิร์ตกันแรกๆ อยู่แล้ว ปกติเวลาไปเราก็อยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวน่ารักกันอยู่แล้ว”
ในมุมมองเราตอนแรกที่รู้ เราตกใจไหม?
“ไม่ตกใจ และไม่รู้สึกเซอร์ไพรส์ เพราะว่าถ้าในมุมมองอ๊อฟนะ อ๊อฟมองว่าเป็นเหมือนความพึงพอใจของแต่ละคน มันก็เหมือนยังดีกว่าไปหาเศษหาเลยข้างนอก อันนี้คือในมุมของเรานะ เราโอเคถ้าเรารู้สึกว่าคุณขาดแล้วคุณหาใครมาเติมเต็มได้โดยที่ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แล้วอยู่กันแบบเข้าใจอ่ะ อ๊อฟว่ามันก็โอเคไง หมายถึงว่ามันก็วินๆ กันทั้งคู่อีกคนหนึ่งก็จะได้มีความสุขอีกคนหนึ่งก็จะได้มาเติมเต็มชีวิตให้ของกันและกัน”
พอมันเป็นข่าวเกิดขึ้นบางคนคอมเม้นท์ในโซเชียล ก็คอมเม้นท์กันสนุกปากยิ่งเป็นการตอกย้ำความรักของเพศที่สาม?
“เข้าใจเลย ก็อย่างที่อ๊อฟบอกว่าสุดท้ายแล้วมันก็เป็นเรื่องปกติ เรื่องธรรมดาที่คนจะวิจารณ์จะมองเพศที่สามเป็นแบบนี้ มันไม่ผิดนะที่คนเขาจะมองกันแบบนั้น บางทีคนว่าเราเป็นตุ๊ดเป็นกระเทย สาวมากไปเเปลงเพศไหม ทำนมเหอะ ผ่าเลยไหมละ คือบางทีเราก็รู้สึกเฮิร์ทเหมือนกัน แต่ก็โทษไม่ได้มันเกิดจากการกระทำของเรา
เพราะฉะนั้นอ๊อฟ อยากจะบอกว่าการกระทำทุกอย่างมันส่งผลต่อกลุ่มกว้าง เพราะฉะนั้น แค่อย่าเหมารวม หมายถึงว่าถ้าจะด่าอะไรก็อย่าเหมารวม เพราะว่าจริงๆ แล้วแต่ละคนมันก็ไม่เหมือนกัน แล้วก็อย่าคิดกันว่าการคบกันแบบสามคนสี่คน แล้วมันจะเป็นเรื่องที่แย่ อ๊อฟว่ามันเป็นเรื่องของความพึงพอใจรสนิยม และเป็นเรื่องของความเข้าใจกันมากกว่า อ๊อฟว่ามันก็ยังดีกว่าคู่ชาย-หญิงที่เป็นแบบคุณคบกันเป็นแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้ว แต่ออกไปหาเศษหาเลย ไปหากินคนอื่นมันก็ไม่ดีไง”