ดูผอมลงไปถนัดตาสำหรับหนุ่ม “พีเค ปิยะวัฒน์ เข็มเพชร” ที่ล่าสุดได้เจอในงาน “คีตรัตน์ The Royal Musical Legacy” ณ The Escape ชั้น 3 ซึ่งเจ้าตัวก็เผยถึงสาเหตุให้ฟังว่า
“ผอมลงก็ไม่ได้ตรอมใจครับ เพราะว่าเอาจริงๆ นะ ปกติตอนแรกน่ะ เวลาทำงานวิทยุก็จะเริ่มตั้งแต่ 10 โมงเช้า จนถึงเที่ยงครึ่ง หลังจากนั้นจะเป็นรายการทีวี หลังจากนั้นก็จะเป็นอีเวนท์งานอ่านสปอร์ดซึ่งมันก่อนค่อนข้างจะไหลไปถึงกลางคืนอยู่แล้ว แต่พอ 3 เดือนที่แล้ว มันก็จะมี ครูเช้าโชว์ มันต้องตื่นตั้งแต่ ตี 5 แล้วพอ พอบวก ตี 5 แล้วทำงานทุกเช้าถึงกลางคืนเนี่ย พอเยอะขนาดนึง มันเริ่มไม่ไหว ร่างกายมันเริ่มไป แล้วก็รู้เลยว่า ต่อจากนี้ไปนะคงจะไม่ทำงานแบบถึงกลางคืนติดกันนานขนาดนี้อีกต่อไปแล้ว
น้ำหนักก็ลงไป 3 กิโลน่ะครับ แล้วก็คือเรื่องนี้คืออยากลดน้ำหนักอยู่แล้ว แต่ไม่อยากลดน้ำหนักด้วยการทรมารแบบนี้ มันทำให้ผมค้นพบอีกอย่างหนึ่งในอายุ 43 เนี่ยว่าผมมี Theory กับชีวิตใหม่ ชื่อว่า ครัวซองเทอรรี่ ซึ่งเป็นอะไรที่ปัญญาอ่อนมากเลยนะ ครัวซองเทอรรี่ วันนั้นน่ะทำงานตั้งแต่ตี 5 โมงเย็น คออักเสบกินข้าวไม่ได้ และหิวมาก และเดี๋ยวจะต้องขึ้นอีกเวทีอีเวนท์หนึ่ง อีเวนท์ที่ 3 ของวันนั้น และมันต้องพูด ก็กินอะไรไม่ได้สักที แล้วมันก็หิว จำได้ว่าไม่อ่านสปอร์ดมา ได้เงินสดอยู่ในกระเป๋าเนี่ย แล้วสั่งครัวซอง สั่งกาแฟร้อนอยากกินมากหิวมาก แล้วพอกัดไปคำหนึ่งน้ำตาไหลเพราะกินไม่ได้ แล้วก็บีบขาด้วยเพราะมันเจ็บ เจ็บมาก แล้วบีบไปกำเจอเงินตัวเอง มันรู้สึกว่ามีเงินมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย แล้ววันนั้นคือนั่งอยู่คนเดียว แล้วน้ำตาไหลแบบมันทรมานมาก จากนั้นมาก็เลยคิดว่า เนี่ยหลังจากนี้พอเริ่มต้นเดือนหน้าก็จะรับงานแต่จะไม่โหมขนาดนั้นอีกต่อไปแล้ว ก็ต้องจัดสรรเวลาใหม่ จะไม่มีคำว่าเช้าถึงกลางคืนติดกัน 3 เดือนไม่มีอีกแล้ว
ก่อนหน้านี้ก็เข้ารพ.ไป 4 รอบเลยครับ ง่ายๆ เลยนะถ้าคนที่อยู่ในวงการจะเป็นคล้ายๆ กัน คือ คออักเสบ พอคออักเสบก็กินข้าวไม่ได้ มันจะเริ่มไอ พอไอก็นอนไม่ได้ พอนอนตื่นทุกชั่วโมงร่างกายก็จะเททันที เพราะฉะนั้นทุกอย่าง หวัดมา จามก็ทรมาน พูดก็ยังทรมาน คนในวงการที่ใช้เสียงทุกคนน่ะจะเจออย่างนี้ แล้วยิ่งถ้าเกิดเนี่ยเจอคนที่เป็นไข้อย่างนี้นะมันก็จะมาง่ายๆ แล้วยิ่งถ้ามีงานจ่อไว้แล้ว แล้วงานอีเว้นท์มันเหมือนงานแต่งงานน่ะครับ งานอีเว้นท์เหมือนงานแต่งงานที่ไม่มีเจ้าบ่าวไม่ได้ เพราะฉะนั้นอยู่ดีๆ ไปแคนเซิลเขานาทีสุดท้ายไม่ได้ยังไงก็ต้องทำ แล้วมันมีติดกันอย่างนี้มาเป็นอาทิตย์ แล้วผมก็เลยต้องแบบเอาช่วงเวลา 2 ชั่วโมง โดดไปฉีดยาแล้วกลับมาขึ้นเวทีใหม่ โดดไปฉีดยาแล้วขึ้นเวที มีอยู่วันหนึ่งที่มีว่างอยู่ 10 ชั่วโมง โดดไปนอนโรงพยาบาล 6 ชั่วโมง ให้น้ำเกลือแล้วกลับมาทำงานต่อ แล้วพออีก 2 วันต่อมาเป็นเหมือนเดิมครับ ไปฉีดยาอีกรอบหนึ่ง แล้วก็รู้แล้ว พอไม่เอาแล้ว ถ้าไม่เป็นหนักขนาดนี้ก็คงจะไม่ได้เบรก หากไม่หนักขนาดนี้มันจะไม่มีอะไรมาเตือนผมเลย เพราะผมจะพุ่งๆ ตลอด ก็เนี่ยอะครับมีครัวซองเทอรี่อันใหม่
ถามว่าเคยแอบหวั่นไหมว่าเส้นเสียงเราจะไม่ไหว ก็ไม่นะ เราไม่ใช่นักร้อง คือนักร้องเนี่ยมันต้องเอื้อนเอ่ย มันต้องใช่เสียงสูง มันต้องใช้พลังเยอะ พิธีกรใช้พลังพูด เพราะฉะนั้นตราบใดที่พูดได้เสียงอย่างเนี่ย เพราะฉะนั้นตราบใดก็ตามอัดไมค์ดังๆ คนก็ได้ยิน ได้ยินอยู่ ไอเรื่องเส้นเสียงไม่ห่วง ตราบใดที่ผมไม่ใช่นักร้อง กับที่ผ่านมาเราต้องโหมงานหนักขนาดนี้เป็นเพราะเรารับไว้แล้วครับ คืองานอีเว้นท์มันจะมีอยู่ไว้แล้ว แต่สมัยก่อนตอนที่เรารับไว้แล้วเนี่ย มันไม่ได้มี คุยเช้าโชว์ ที่ 7 โมงถึง 8 โมงเช้าทุกวัน สด แต่พอสดปุ๊บเราก็อยากทำ เพราะมันสนุกอะ มันเป็นอะไรที่รับความสามารถในการเป็นพิธีกรสดได้ แล้วคือหลังจาก คุยเช้าโชว์ เนี่ยงานอื่นมันก็เราโอเคอยู่แล้ว เราเก่งยิ่งขึ้น แต่สิ่งที่เราต้องเสียไปก็คือสุขภาพ เพราะฉะนั้นเริ่มต้นปลายเดือนนี้ ต้นเดือนหน้า คุยเช้าโชว์ เขาย้ายเป็นบ่าย ก็เป็นคุยบ่ายโชว์ครับ ก็อยู่ต่อ
กับที่บอกหายเร็วอย่างนี้แสดงว่ากำลังใจดี คือเขาอยู่ข้างๆ ตลอด เขาดูแลดีไหมก็สมน้ำหน้าเรา เขาบอก “บอกแล้วว่าอย่าซ่ามาก” จริงๆ เขาไม่บ่นครับ เพราะ 2 ปีเนี่ยผมจะไม่สบายสักครั้งหนึ่ง แล้วที่เป็นหนักๆ อย่างเงี้ยจำได้ว่าตอนที่ถ่าย “วงล้อลุ้นรัก” แล้วยืนจะเป็นลม ตอนนั้นแล้วแม่ต้องไปรับ เหมือนอนุบาลเลยอะ แม่ต้องไปรับอะ หลังจากนั้นก็ (รพ.) อินชัวรันส์กิน กินเคี้ยวหมูเลยครับ อินชัวรันส์นี่เอาตังค์ไปทุกปีเลยครับ จนมาครั้งนี้เนี่ยก็เป็นหนักหน่อย เลยคิดว่าจะไม่เจอโรงพยาบาลอีก อย่างน้อยถ้าไม่ใช่งานอีกเว้นท์นะ สองสามปี ส่วนเรื่องไปออกกำลังกายก็ไม่ๆ คือนี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง หลังจากเสร็จเรียลลิตี้โชว์ 7 โมงผมจะมีเทรนเนอร์มาตอน 8 โมงครึ่ง แล้วก็จะออกกำลังกายทุกวัน 6 วันต่ออาทิตย์ แต่ด้วยความที่ออกกำลังกายที่ออฟฟิศ ออกกำลังกายเสร็จ 8 โมงครึ่งถึง 9 โมงครึ่ง แล้ว 10 โมงก็วิทยุต่อ ทำอย่างเนี้ยมา 3 เดือน มันก็เลยหนักกว่าเดิม ก็เลยรู้แล้วว่าเบาก็ได้ครับ ถอดเสื้อมาก็ไม่มีคนมองอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเบาๆ ดีกว่า
ต้องฟิตร่างกายขนาดไหน ก็คือตอนนั้นพอน้ำหนักลง ลงมา 3 กก.ปั๊บ ผมก็เลยคิดว่าพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสดีกว่า มันจาก 76 มาเป็น 73 ผมก็เลยเฮ้ย ขออีกสัก 3 กก. 70 แล้วกัน ก็เลยตอนนี้ก็เลยเบาเลย ไม่ต้องตื่นเช้าแล้ว ก็กินน้อยลงแล้วก็ออกกำลังกายเท่าเดิม คาดิโอมากขึ้น อยากจะรู้ว่าก่อนวันเกิดปลายปีนี้จะได้สัก 70 กก.ไหม ไหนๆ เราก็เสียไปแล้ว เสียมาแบบทรมารมาก เสียมาด้วยน้ำตาจริงๆ ไม่ได้ร้องไห้มานานมาก ครั้งสุดท้ายที่ร้องไห้คือตอนที่ดูโยเล่นละครนางทาส นั่นแหละตอนนั้นร้องไห้ แล้วก็ไม่ได้ร้องอีกเลยจนอีครัวซองน้ำตาเนี่ย ตอนนี้ก็เริ่มเบาๆ เดือนหน้าเนี่ยมันไม่ต้องตื่นเช้า อย่าใช้คำว่าเบา ไม่ต้องตื่นเช้า ก็ยังรับงานเหมือนเดิมแต่ว่าไม่เช้าก็ดึก จะไม่ลากทั้งวันอีกต่อไป บอกได้เลยว่าลาก 3 เดือนที่ผ่านมาของ คุยเช้าโชว์ เราได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก เราได้เจอคนที่ กลุ่มคนที่ปกติเราจะไม่ได้เจอ เราได้เปิดโลกทัศน์เยอะมาก แต่ผมว่า 3 เดือนนั้นโอเคแล้ว แล้วเอาเบสิคนั้นมาทำตอนบ่าย เป็น คุยบ่ายโชว์ คือเริ่มบ่ายสอง เพราะฉะนั้นก็วิทยุเสร็จแล้วทีนี้ก็เดินไปจัด สำหรับตอนนี้ก็หายดีแล้ว ซ่าแล้วครับ น้องก็บอกซ่าแล้วเหรอ ก็ซ่าแล้ว ซ่าแล้วครับ ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง”